Showing posts with label หลักฐาน. Show all posts
Showing posts with label หลักฐาน. Show all posts

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 6 : เอเชียอาคเนย์


2.มีการกล่าวถึง การทำสมาธิแบบ ธรรมกายจริงในคัมภีร์โบราณ

การอธิบายถึงธรรมกาย ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นในระดับของความรู้จากสมาธิ ว่าธรรมกายนั้นละเอียดยิ่ง บริสุทธิ์ยิ่ง จะเข้าถึงได้ก็ต้องชำระกิเลสที่ครอบคลุมอยู่ให้หมดสิ้นไปเสียก่อน นอกจาก เข้าถึงแล้วยังอาจจะ เป็นธรรมกายนั้นได้ด้วย
การปฏิบัติสมาธิภาวนาในคัมภีร์โยคาวจรใช้วิธีให้ความสำคัญกับดวงแก้ว และความสว่างภายใน มีการบำเพ็ญภาวนาว่า อรหํโยคาวจรที่สภาวะเข้านิโรธมีลักษณะเด่นชัดในส่วนของการหยุดหรือไม่มีกระแสลมหายใจ มีการกล่าวถึงทางเดินของจิตและกระบวนการบรรลุอริยมรรคอริยผลคล้ายคลึงกับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ดวงแก้ว

 แต่แตกต่างกันในรายละเอียดในคัมภีร์ธัมมกายาทิมีความน่าสนใจที่มีการกล่าวถึงธรรมกายอย่างสัมพันธ์เป็นเนื้อเดียวกับการปฏิบัติ ดังเนื้อความในคัมภีร์พระธัมมกายาทิเป็นการพรรณนาถึงส่วนต่างๆ ของพระวรกายในพระพุทธองค์ว่าเป็นพระญาณหรือพระคุณต่างๆ และกล่าวว่าพุทธลักษณะเช่นนี้คือธรรมกาย ลักษณะการพรรณนาเช่นนี้ย่อมให้ความหมายที่เด่นชัดว่า ธรรมกายนั้นแตกต่างจากกายมนุษย์ธรรมดา มีความบริสุทธิ์ยิ่งในทุกส่วนของกาย อีกประการหนึ่ง การที่มังสจักขุไม่ปรากฏในธรรมกายแสดงให้เห็นว่าธรรมกายซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า และการมีธรรมจักขุแสดงความเป็นธรรมกายอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือพระบาลีแจกแจงคุณสมบัติเฉพาะในรูปกายพระพุทธเจ้า แต่คัมภีร์สายปฏิบัติแสดงคุณสมบัติธรรมกายของพระพุทธเจ้า ดังนั้น รูปในที่นี้จึงมิใช่รูปกายที่เข้าใจกันทั่วไป แต่จะเข้าถึงได้หรือเป็นได้ด้วยพระญาณเท่านั้นการเข้าถึงธรรมกายด้วยพระญาณ ปรากฏในการพรรณนาพระญาณที่รู้แจ้งในความเป็นไปของธรรมะต่างๆ ในสัตว์โลกทั้งปวง กล่าวได้ว่าพระธรรมกายในคัมภีร์พระธัมมกายาทิทรงมีพระญาณที่ประกอบเป็นส่วนต่างๆของพระองค์ และทรงรู้แจ้งในสรรพสิ่งหรือทรงมีสัพพัญญุตญาณ คัมภีร์พระธัมมกายาทิมิได้ปฏิเสธโอกาสการเข้าถึงหรือความมีความเป็น สัพพัญญูพุทธภาวะของบุคคลใดๆ แต่กลับส่งเสริมให้ โยคาวจรบุตรได้ระลึกถึงพระธรรมกายเนืองๆ เพื่อความมีความเป็นสัพพัญญูพุทธภาวะนั้น การที่ระบุว่า ธรรมกายของพระพุทธเจ้าอันเป็นกายที่ประกอบด้วยญาณรู้แจ้ง (มรรคญาณ ผลญาณ และวิมุตติญาณ) ยังเป็นแนวคิดหรือหลักการของเถรวาทโดยแท้
ในคัมภีร์เขมร ระบุกระบวนการปฏิบัติสมาธิโดยภาวนา สัมมา อะระหังการกำหนดจิตด้วยรัศมีสว่างสีต่างๆ เดินลงไปตามเส้นทางภายในกายแล้วไปหยุดนิ่ง ภาวนา ณ ตรงสะดือนั้นแล้วเห็นรัศมีเป็นดวงสีขาวใสสว่าง คัมภีร์เขมรกล่าวถึงการ หาดวงแก้วเมื่อพบแล้วจึงจะพาตนไปถึงนิพพานได้ จะเห็นพระรัตนตรัย เห็นดวงศีล เห็นพระอริยสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ประตูนิพพานการเห็น ประตูนี้ย่อมแสดงว่ามีช่องทางที่จะเปิดไปสู่นิพพานพบพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

คัมภีร์จตุรารักขา ยืนยันว่า ในอดีตมีวิธีการปฏิบัติธรรมแบบวิชชาธรรมกายที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ค้นพบอยู่จริง คัมภีร์นี้ แม้จะแต่งด้วยบทกลอนสั้นๆ เพียง 32 บท แต่ก็สามารถสรุปเนื้อหาที่เป็นหัวใจการปฏิบัติธรรมที่สำคัญ คือ พุทธานุสสติ เมตตานุสสติ อสุภานุสสติ และมรณานุสสติ ไว้ด้วยกันอย่างครบถ้วนชัดเจนและง่ายต่อการทำความเข้าใจ ร่องรอยวิชชาธรรมกายที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์จตุรารักขา ไม่มีความคลาดเคลื่อนจากคำสอนที่ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกบาลีแต่อย่างใด
สรุปจากทุกคัมภีร์ที่อ่านพบมาทั้งคันธาระ เอเชียกลาง จีน เอเชียอาคเนย์สามารถกล่าวได้ว่า มีการกล่าวถึงธรรมกายจริง และมีการปฏิบัติแบบธรรมกายจริงตั้งแต่ยุคดั้งเดิมแล้ว แต่ไม่ได้เหมือนกับหลักการพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ไปเสียทั้งหมด มีความแตกต่างกันอยู่ในรายละเอียด แต่ระบุได้ว่าสาระหลักคือมีการกล่าวถึงธรรมกาย มีการนั่งสมาธิแบบเห็นองค์พระจริง ในทางหนึ่งอาจจะผ่านจากคันธาระ เอเชียกลาง จีน สู่เอเชียอาคเนย์ ก็เป็นไปได้หรืออาจจะมาโดยทิศทางอื่นเช่นสายใต้ ผ่านมาทางศรีลังกา หรือสายอินเดียตะวันออก มาสู่สยาม ซึ่งประเด็นนี้ยังต้องศึกษาต่อไป งานข้างหน้าของคณะวิจัยชุดนี้ก็คือการสาวอดีตลงไปให้ลึกยิ่งกว่านี้ ว่าจะมีร่องรอยใดที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับหลักธรรมและการปฏิบัติหลงเหลืออยู่อีก ถึงแม้ว่า การ มีและ ไม่มีร่องรอยนั้น จะมิได้มีความสำคัญเท่ากับการมุ่งปฏิบัติด้วยตนเองของเราทั้งหลายเพื่อพิสูจน์องค์พระธรรมกายภายใน
                         (ข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 5 : เอเชียอาคเนย์

เอเชียอาคเนย์ โดยส่วนใหญ่หมายรวมถึงดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียทั้งหมด ภูมิประเทศทางทิศใต้ติดทะเล ทางเหนือติดผืนแผ่นดินใหญ่ มีประเทศที่ใหญ่กว่าคืออินเดียอยู่ทางทิศตะวันตกและจีนอยู่ทางทิศเหนือทั้งอินเดียและจีนมีความรุ่งเรืองทั้งทางกำลังทหารและศิลปวัฒนธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้รับอิทธิพลจากความเปลี่ยนแปลงในทั้งสองประเทศนี้อย่างยาวนาน แต่เนื่องจากประเด็นที่ศึกษาคือพุทธศาสนา อิทธิพลหลักจึงมาจากประเทศอินเดีย

จากงานวิจัยในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ซึ่งผู้วิจัยคือ ดร.กิจชัย ศึกษา จากคัมภีร์ 9 เรื่อง พระครูปลัดนายวรวัฒน์ 1 เรื่อง พระปอเหม่า 28 เรื่อง สุปราณี พณิชยพงศ์ 1 เรื่อง คัมภีร์ที่ศึกษา ส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์เถรวาทในไทยและเขมร ส่วนคัมภีร์จตุรารักขาเผยแพร่อยู่ในเอเชียอาคเนย์โดยแพร่หลายในศรีลังกา งานที่ศึกษานี้มีคัมภีร์หนึ่งที่อุปถัมภ์โดยองค์พระมหากษัตริย์ยุคต้นรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 คือคัมภีร์ธัมมกายาทิ เก็บรักษาไว้ในพระอารามหลวงวัดพระเชตุพนฯอันแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อคัมภีร์นี้ คัมภีร์ที่ศึกษาทั้งหมดส่วนใหญ่เน้นเรื่องการปฏิบัติภาวนา แต่ก็สามารถตอบปัญหางานวิจัยทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติได้ดังนี้
 
คัมภีร์ลานเงินประดับทอง ภาษาขอม

คัมภีร์ธรรมกายาธิ อักษรขอม

คัมภีร์ธรรมกาย อักษรธรรมล้านนา


1. มีการกล่าวถึงธรรมกายจริงในคัมภีร์โบราณ
การวิเคราะห์คัมภีร์อักษรธรรมของ ดร.กิจชัยให้ผลว่าธรรมกายเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในสังคมชาวพุทธของเอเชียอาคเนย์เมื่อนับเนื่องด้วยอายุของโยคาวจรไปได้ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 ธรรมกายเป็นที่รู้จักว่าประกอบขึ้นด้วยญาณรู้แจ้งและเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า แสดงว่าธรรมกาย เป็นที่รู้จักในสังคมชั้นสูงของสยามมาตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

คัมภีร์โยคาวจรกล่าวถึงธรรมกายว่า ธรรมกายนี้เป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสามารถ ถูกพบได้ในนิพพาน (การไปสู่นิพพานคือการได้พบพระพุทธเจ้า) สรีระของพระพุทธเจ้าประกอบขึ้นด้วยญาณต่างๆมีการกล่าวถึง เมืองนิพพานเรื่องของพระพุทธเจ้าหรือกายธรรมนี้มีความคล้ายคลึงกับคัมภีร์กระแสหลักดั้งเดิมสายสรรวาสติวาทและมหาสางฆิกะ ที่เรียกว่ามหายานยุคก่อนขยายความ แต่ก็สอดคล้องกับมหายานยุคหลังที่ถูกอรรถาธิบายต่อเติมไปมากแล้วในบางส่วนด้วย

คำว่า ดวงแก้ว และ แสงสว่างภายใน มีปรากฏบ่อยครั้งมาก อาจชี้ให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกับคัมภีร์ ตถาคตครรภะอันเก่าแก่ ที่ว่าด้วยความบริสุทธิ์ที่เป็นรากเดิมแห่งชีวิตแต่ถูกกลบฝังไว้ด้วยกิเลส คำว่า ดวงแก้วที่ข้ามาชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างดวงแก้วกับ กายกายที่มาจากดวงสว่างที่บริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษย์มีจิตดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ซึ่งอาจพ้องกับศัพท์ โพธิหรืออาจพ้องกับทฤษฎีตถาคตครรภะเช่นในคัมภีร์ศรีมาลาเทวีสูตรเมื่อมาแปดเปื้อนกับบาปธรรมจิตจึงหม่นหมอง ส่วนในคัมภีร์จตุรารักขาก็มีกล่าวถึงธรรมกาย
ตอนต่อไปจะกล่าวถึง การทำสมาธิแบบ “ธรรมกาย” ที่ปรากฏในคัมภีร์โบราณแถบเอเชียอาคเนย์
                                        (ข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 4 : จีน

       จากคันธาระและเอเชียกลางมาสู่จีน พุทธศาสนาอาจจะเข้ามาสู่จีนตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งอาจจะย้อนกลับไปได้ถึงราว พ.ศ. 200-300 อิทธิพลของพุทธศาสนามีต่อลัทธิเต๋าของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการนั่งสมาธิ ซึ่งแสดงว่าการปฏิบัติธรรมแบบพุทธเป็นที่นิยมกันมากและเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
     
       จากการศึกษาของพระเกียรติศักดิ์ กิตฺติปญฺโญ ใน 7 คัมภีร์ที่ศึกษาพบว่า การปฏิบัติธรรมของจีนในยุคต้นเป็นแบบการเห็นองค์พระ และระลึกถึงองค์พระที่ศูนย์กลางกาย แล้วเห็นองค์พระผุดซ้อนออกมาจากกลางนาภีขององค์พระแต่ละองค์ มีการเห็นกายแก้ว เห็นแสงสว่างในกลางกาย ในคัมภีร์กล่าวว่า เห็นดวงสว่างผุดออกมาจากกลางกายนั้น และให้ผู้ปฏิบัตินึกพระอามิตายุสในกลางดวงสว่างกลางกายนั้น
     
       ในอานาปานสมฤติสูตร ระบุวิธีภาวนาถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นวิธีเก่าแก่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งพระภิกษุอันซื่อกาวได้นำมาแปลในสมัยของท่าน การนั่งสมาธิแบบตามลม แล้วลมหยุด จิตตั้งที่ศูนย์กลางกาย สังเกตดูนิ่งๆ เฉยๆ จิตก็จะตกศูนย์ถึงความบริสุทธิ์ การนั่งสมาธิแบบตรึกนึกถึงองค์พระ การเห็นแสงสว่าง เห็นกายแก้ว สอดคล้องกับคัมภีร์ดั้งเดิมในคันธาระและเอเชียกลาง แต่การปฏิบัติแบบจีนยังอธิบายลึกซึ้งลงไปยิ่งกว่า คือกล่าวถึงศูนย์กลางกายและองค์พระผุดซ้อนจากกลางกายนั้น ทั้งหมดนี้สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับวิธีปฏิบัติธรรมของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ซึ่งพระเกียรติศักดิ์ได้เทียบภาพเขียนและพระพุทธรูปโบราณของจีน กับประสบการณ์การนั่งสมาธิของสายวัดปากน้ำภาษีเจริญที่ปรากฏในรายการโทรทัศน์ดีเอ็มซี (DMC; Dhammakaya Media Channel) จะเห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
     
       กล่าวได้ว่าการนั่งสมาธิแบบเห็นองค์พระนั้น ถ่ายทอดมาจากอินเดียและปฏิบัติตามกันมานานมาแล้ว



Fig.source: http://gandharan.blogspot.co.nz/2009_09_01_archive.html
รูปสลักโพธิสัตว์มีองค์พระพุทธรูปกลางท้อง พุทธศตวรรษที่ 8-12,

ขุดพบที่อัฟกานิสถาน รูปสลักนี้บ่งชี้ว่าในยุคนั้นน่าจะมีการทำสมาธิที่เกี่ยวกับองค์พระที่กลางท้อง

Fig.source : Bhikkhu Dee ภาพแสดงพระพุทธเจ้าสององค์ภายในท้อง

ภาพแสดงการเห็นองค์พระผุดซ้อนจากตำแหน่งเหนือสะดือสองนิ้วมือ

ภาพองค์พระผุดซ้อนจากกลางกาย มองจากด้านบน แหล่งที่มา dmc.tv

 (ข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 3 : คันธาระและเอเชียกลาง

จากตอนที่ 2 ได้พบหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์ต่างๆ ตอนที่ 3 นี้จะขยายความเพิ่มเติมให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องสอดคล้องของคัมภีร์ในคันธาระและเอเชียกลางกับในปัจจุบัน

หลักฐานธรรมกายกับความสอดคล้องกับวิชชาธรรมกาย มี 2 ด้าน

1. ความสอดคล้องในแง่ของหลักธรรม

พบได้ทั่วไปในทุกกลุ่มคัมภีร์ ทั้งในกลุ่มคัมภีร์ภาษาคานธารีและสันสกฤตของหินยาน และในกลุ่มคัมภีร์ของมหายาน คัมภีร์ชุดที่เก่าแก่ที่สุดที่พบหลักฐานธรรมกายในท้องที่นี้คือ กลุ่มคัมภีร์ที่จารึกในภาษาคานธารี พบใน
เขตพื้นที่คันธาระ ส่วนใหญ่เป็นพระสูตรหรือคัมภีร์ประเภทนิทเทสของหินยานซึ่งคาดว่าเป็นนิกายธรรมคุปต์ ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งที่แยกออกมาจากเถรวาทเนื้อหาคัมภีร์ที่พบมีความคล้ายคลึงกันกับที่พบในพระสูตรบาลี เป็นหลักฐานธรรมกายในระดับของหลักธรรมทั่วไปและหลักปฏิบัติ เช่น
-- นิพพานธาตุไม่มีความชรา
-- ต้อง ทั้งรู้ ทั้งเห็นความเป็นจริงของขันธ์5 จึงจะกำจัดกิเลสได้
-- การมีกัลยาณมิตรและมีศีลบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานในการบ่มเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติให้แก่รอบ
-- การเจริญเมตตามีอานิสงส์มาก
-- ฯลฯ

หลักธรรมดังกล่าวมานี้ ถือได้ว่าสอดคล้องตรงกันกับหลักการของวิชชาธรรมกายทั้งหมด เพียงแต่ไม่ได้กล่าวถึงประสบการณ์ภายในในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น และเป็นตัวบ่งชี้ว่าในคันธาระมีคำสอนของพุทธศาสนาเถรวาทเผยแผ่
ไปถึงตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ส่วนในคัมภีร์ภาษาสันสกฤตที่พบหลักฐานธรรมกาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์มหายานนั้น พบความสอดคล้องในเชิงหลักธรรมด้วยเช่นกัน ดังเช่นในประเด็นต่อไปนี้
-- หลักการที่ว่า ในตัวทุกคนมีธาตุแห่งความเป็นพุทธะอยู่
-- พระพุทธองค์มีธรรมเป็นกาย พึงเห็นพระองค์โดยธรรม มิใช่โดยรูปกาย
-- พระพุทธองค์ทรงประกอบด้วยพระรูปกายและพระธรรมกาย
-- พระพุทธคุณยิ่งใหญ่กว่าคุณของพระอรหันต์
-- พระพุทธองค์ทรงนำสัตว์โลกออกจากวัฏสงสารด้วยพระธรรมกาย
-- พระธรรมกายเป็นส่วนหนึ่งของการตรัสรู้พระโพธิญาณ
-- พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีจำนวนมากเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
-- การเข้าไปในกลาง แล้วเห็นพระพุทธเจ้า อัตภาพแห่งธรรม
-- ฯลฯ
หลักการที่กล่าวไว้ในคัมภีร์มหายานเหล่านี้ ส่วนมากมักไม่มีกล่าวไว้ในพระสูตรหินยาน จึงนับว่าเป็นจุดเด่นของพระสูตรมหายานในการแสดงหลักการที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมกายและการปฏิบัติ แต่กระนั้นก็ตามเมื่อศึกษาพระสูตรมหายานส่วนใหญ่ทั้งพระสูตรแล้ว ก็มักจะพบอะไรบางอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วยซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการของวิชชาธรรมกายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อมองในภาพรวมทั้งหมดแล้ว หลักฐานธรรมกายที่พบในพระสูตรมหายาน จึงมักเป็นความสอดคล้องเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เด่นชัดและตรงกันกับหลักการวิชชาธรรมกายมากที่สุดคือ หลักการตถาคตครรภะ ที่กล่าวว่า ในตัวมนุษย์ทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ภายในแต่ถูกบดบังไว้ด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จะเข้าถึงได้ด้วยการฝึกฝนชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพของมนุษย์ว่า สามารถฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ถึงจุดแห่งการรู้แจ้งเห็นจริง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ ซึ่งในคัมภีร์จากคันธาระและเอเชียกลาง พบอยู่ใน 2 พระสูตร คือ ศรีมาลาเทวีสิหนาทสูตร และมหาปรินิรวาณสูตร ซึ่งถือว่ามีเนื้อหาคำสอนสอดคล้องกันกับหลักการของวิชชาธรรมกายโดยตรง ต่างกันแต่เพียงเนื้อเรื่องที่แต่งเติมเข้ามาประกอบเพื่อถ่ายทอดคำสอนเท่านั้น

2. ความสอดคล้องในระดับของประสบการณ์ภายใน

คัมภีร์ที่พบในคันธาระและเอเชียกลางบางฉบับยังมีเนื้อหาที่แสดงความสอดคล้องกับวิชชาธรรมกายในแง่ของประสบการณ์ภายในจากธรรมปฏิบัติอีกด้วย นอกจากคู่มือปฏิบัติธรรมที่แสดงรายละเอียดวิธีการปฏิบัติและประสบการณ์ภายในโดยตรงแล้ว ยังพบในพระสูตรมหายานบางกลุ่มที่นิยมกล่าวถึงประสบการณ์ภายในในระดับของการเห็นไว้ด้วยเช่นกัน ความสอดคล้องในระดับประสบการณ์ในการปฏิบัติที่เด่นชัดที่สุดจากคัมภีร์ในคันธาระและเอเชียกลางคือ การเห็นพระนับว่าสอดคล้องกับหลักการของวิชชาธรรมกายโดยตรง ส่วนตำแหน่งของการวางใจกับการเห็นพระนั้น บ้างก็เห็นเหมือนมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า บ้างก็ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่เห็นโดยตรง ส่วนในคัมภีร์โยคาจาร กล่าวถึงการวางใจที่ศีรษะ (กระหม่อม) ลักษณะที่บรรยายเหมือนการมองเห็นภาพจากมุมบน และยังมีการกล่าวถึงการรวมตัวกันของกระแสแก้วใสจากศีรษะและจากสะดือ ที่ทำให้เกิด การหยุดนิ่งที่เป็นแก้ว




 (ข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )





  





หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่2 : คันธาระและเอเชียกลาง

พระพุทธศาสนาในคันธาระและเอเชียกลาง
โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ คันธาระนับเป็นปากประตูของอินเดียในการที่จะเปิดตัวออกไปสู่โลกกว้างผ่านเส้นทางสายไหม จึงเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนศิลปวิทยาการ วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนศาสนาของหลายเชื้อชาติที่มีการคมนาคมบนเส้นทางแห่งนี้
การศึกษาทางประวัติศาสตร์บ่งบอกถึงการเดินทางของพระพุทธศาสนาเข้าไปสู่ดินแดนที่เรียกว่า กัศมีระ-คันธาระ หรือ คันธาระโบราณหลายระลอกตั้งแต่พุทธกาลเป็นต้นมา รวมถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียผ่านกัศมีระ-คันธาระไปสู่เอเชียกลางและประเทศจีน ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า น่าจะเป็นการเดินทางไปกับเส้นทางสายการค้าทางไกลมากกว่าที่จะเป็นการแผ่ขยายออกไปตามลำดับ (Neelis 2000: 919-21)
พระภิกษุจีน สวนจ้าง หรือพระถังซัมจั๋ง

อย่างในบันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีน สวนจ้าง (หรือรู้จักกันว่าพระถังซัมจั๋ง) ระบุว่า พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนคันธาระและเอเชียกลางโดยพ่อค้า 2 ท่านคือ ตปุสสะและภัลลิกะ อุบาสกสองคนแรกในพระพุทธศาสนา ผู้ถวายภัตตาหารมื้อแรกแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองท่านเป็นชาวแบคเทรีย (Dietz 2007: 59-60) 

นอกจากนี้ อรรถกถาธาตุวิภังคสูตรยังกล่าวถึงเรื่องราวของพระเจ้าปุกกุสาติผู้เป็นกษัตริย์ของแคว้นคันธาระในนครตักศิลา ได้รับธรรบรรณาการจากพระเจ้าพิมพิสารที่เขียนจารึกบนแผ่นทองคำพรรณนาคุณของพระรัตนตรัย และการทำสมาธิแบบอานาปานสติจึงเกิดพระปีติแรงกล้าในข่าวการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัย และทรงปฏิบัติธรรมด้วยตนเองตามวิธีการที่พระเจ้าพิมพิสารจารึกไว้ในแผ่นทองคำนั้นจนได้ฌานสมาบัติ จึงสละราชสมบัติเสด็จออกผนวชอุทิศต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ในยุคสมัยพระเจ้ากนิษกะ มีการจัดการสังคยานาครั้งที่ 4  จัดขึ้นที่ กุณฑลวันมหาวิหาร ในกรุงชลันธระ กัศมีระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคันธาระ โบราณ ทรงโปรดให้สร้างวิหาร สถูป เจดีย์ ให้เจาะถ้ำตามหน้าผาของหุบเขาบามิยัน และแกะสลักพระพุทธรูปหลายองค์




หลักฐานธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง

คัมภีร์ที่ศึกษาขุดค้นพบในคันธาระ 5 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ ฮัดดา ประเทศอัฟกานิสถาน บาจัวร์ ประเทศปากีสถาน บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน กิลกิต ประเทศปากีสถาน และแบคเทรีย ในตอนบนของประเทศอัฟกานิสถาน และในเอเชียกลาง จุดค้นพบคัมภีร์อาจแบ่งได้เป็น 2 เขตใหญ่ คือ ตอนเหนือ และตอนใต้ของทะเลทรายทากลามากัน โดยทางตอนใต้ของทะเลทรายทากลามากัน พบคัมภีร์ใน 2 จุดหลักคือ โขตาน และนิยะ ส่วนทางตอนเหนือและตะวันออกของทะเลทรายทากลามากัน พบคัมภีร์ใน 4 จุดหลัก ได้แก่ คิซิล กุชา เทอร์ฟานและตุนฮวง จากการสำรวจเนื้อหาคัมภีร์ดังที่แจกแจงไว้ข้างต้นแล้วพบว่า คัมภีร์ที่เก่าที่สุดอยู่ในกลุ่มของ สปลิต คอลเลคชัน (Split Collection) ประเทศเยอรมนี เขียนด้วยภาษาคานธารี อักษรขโรษฐี จำนวน 5 ชิ้น จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.. 296-434  ขณะที่จารึกพระเจ้าอโศก เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.. 226 ภาษาปรากฤต อักษรพราหมี ดังนั้นสปลิต คอลเลคชัน (Split Collection) จึงน่าจะมีความเก่าใกล้เคียงกับจารึกพระเจ้าอโศกเลยทีเดียว ซึ่งย่อมแสดงว่าในช่วงเวลานั้นอักษรเขียนได้แพร่หลายในอินเดียและภูมิภาคใกล้เคียงทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว
ทะเลทรายทากลามากัน Takla Makan
จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.. 296-434

จารึกพระเจ้าอโศก เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.. 226 ภาษาปรากฤต อักษรพราหมี


จากงานวิจัยในภูมิภาคคันธาระ เอเชียกลาง และจีน งานวิจัยนี้ตอบปัญหาดังนี้1. มีการกล่าวถึง ธรรมกายจริงในคัมภีร์ดั้งเดิม

โดยมีปรากฏในงานที่ ดร.ชนิดา จันทราศรีไศลถอดถ่ายจากคัมภีร์โบราณ 15 คัมภีร์ ดร.ชัยสิทธิ์ สุวรรณวรางกูล ถ่ายถอดจาก 4 คัมภีร์หลัก พระวีรชัย เตชงฺกุโรและคณะรวบรวมจากร่องรอยทุติยภูมิเป็นส่วนใหญ่ได้อีก 78 คัมภีร์ ทั้งนี้ยังมีคัมภีร์อีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้อ่าน
เท่าที่ร่องรอยสามารถสืบค้นได้ คัมภีร์ที่มีคำว่า ธรรมกายที่เก่าที่สุดและสำคัญที่สุดนั้น ในที่นี้อาจแบ่งเป็น 3 ช่วงยุคเรียงลำดับที่ศึกษา คือ

ยุคพุทธกาล ถึงประมาณ พ.. 300 เป็นช่วงคำสอนดั้งเดิม

เป็นช่วงที่เกือบไม่ปรากฏคัมภีร์ตัวเขียน เพราะการถ่ายทอดใช้วิธีท่องจำและสอนปากเปล่า อาจมีการแกะสลักหรือวาดภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งในปัจจุบันมีการค้นพบอยู่บ้างแต่ไม่อาจตีความหมายได้ชัดเจน

ยุคหินยานและมหายานก่อนขยายความ จาก พ.. 300 ถึงราวพ..743

(ปี พ.. 743 เกิดคัมภีร์มัธยามิกะของท่านนาคารชุน)
เป็นช่วงยุคที่เกิดคัมภีร์มากมายในเขตเอเชียกลางและคันธาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่พ.. 400 สืบต่อมาอีกสามศตวรรษเศษเป็นช่วงที่พุทธศาสนามีความรุ่งเรืองมากจนถึงกับมีการจารึกเป็นตัวอักษรเขียนปรากฏอย่างมากมาย ทั้งหินยาน
และมหายานก่อนขยายความ สำนักที่สามารถระบุได้ว่ามีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้แต่โบราณ ประกอบด้วยมหาสางฆิกะ สรรวาสติวาท และธรรมคุปต์ เป็นต้น ยุคนี้เกิดภาพแกะสลักและพระพุทธรูปศิลปะคันธาระราวปี พ.. 370
พระพุทธรูปศิลปะคันธาระ

ยุคมหายานขยายความ ตั้งแต่ พ.. 744

ซึ่งสมัยท่านนาคารชุน ประพันธ์โศลกมูลฐานว่าด้วยทางสายกลางที่เรียกว่าคัมภีร์สายมัธยามิกะ หรือช่วง
มหายานยุคขยายความ (ท่านนาคารชุนมีชีวิตอยู่ประมาณ พ.. 693-793) จากงานวิจัยข้างต้นสรุปคัมภีร์ด้วยการแบ่งช่วงยุค (periodization) ได้ดังนี้

1.1 ยุคพุทธกาล ถึงประมาณ พ.. 300

คัมภีร์ที่ปรากฏเรื่องธรรมกายส่วนใหญ่อยู่ในสายมหาสางฆิกะ แต่เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่ได้จารคัมภีร์ด้วยตัวอักษร (อาจมีแต่ยังไม่พบ หรือพบน้อยมาก) ทว่าจะถูกท่องจำ และนำไปเขียนในยุคต่อๆ มา หลังจากนั้นก็จะถูก
แปลเป็นภาษาต่างๆ ขยายความกว้างออกไปอีก ดังเช่นมหาปรินิรวาณสูตรถูกระบุว่าเป็นพระสูตรสุดท้ายที่พระพุทธองค์ได้เทศน์สั่งสอนก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในยุคนี้มีคัมภีร์สำคัญเช่น มหาปรินิรวาณสูตร คัมภีร์ปรัชญาปารมิตา
คัมภีร์เหล่านี้มีสาระสำคัญมากมายที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมกายและเป็นต้นสาย ตถาคตครรภะซึ่งกล่าวถึงกายภายใน

1.2 ยุคหินยานและมหายานก่อนขยายความ จาก พ.. 300 ถึงราว พ.. 743

เป็นช่วงยุคที่พุทธศาสนารุ่งเรืองมากทางตอนเหนือของอินเดียและเกิดคัมภีร์มากมาย ส่วนใหญ่เป็น
สายมหาสางฆิกะ โลโกตรวาท ธรรมคุปต์ สรรวาสติวาท มูลสรรวาสติวาท คัมภีร์ที่พบมีดังต่อไปนี้
1.2.1 คัมภีร์ในสายของปรัชญาปารมิตา ถือเป็นคัมภีร์ที่มีความเก่ามาก น่าจะเขียนขึ้นระหว่าง พ.. 400-.. 600
1.2.2 โทณสูตร ภาษาคานธารี พ.. 480-530 สายธรรมคุปต์
1.2.3 ภัทรปาละสูตร ภาษาสันสกฤตแบบผสม น่าจะเขียนขึ้นราว พ.. 500 หรือเก่ากว่านั้น เป็นมหายาน (ก่อนยุคขยายความ)
1.2.4 คัมภีร์ประเภทนิทเทส ภาษาคานธารี พ.. 490-510 สายธรรมคุปต์
1.2.5 โพธิสตฺตวปิฏก ภาษาคานธารี พ.. 580-780 สายธรรมคุปต์
1.2.6 วาสิชฎสูตร ภาษาคานธารี พ.. 610-620 สายสรรวาสติวาท
1.2.7 หลักตถาคตครรภะ เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ได้มีการค้นพบคัมภีร์โบราณซึ่งย้อนหลังไปได้ถึง
พุทธศตวรรษที่ 6-7 (. 1-2) ซึ่งอาจถอยไปได้เก่ากว่านั้น คือราว พ.. 400

1.3 ยุคมหายานขยายความ ตั้งแต่ พ.. 744

1.3.1 ศตปญฺจศติกา สโตตรฺ ภาษาสันสกฤต พ.. 780-980 เป็นมหายาน
1.3.2 จตุศะติกา สโตตรฺ ภาษาสันสกฤต พ.. 780 -980 เป็นมหายาน
1.3.3 ตถาคตครฺภสูตร (Tathāgatagarbha sūtra) ฉบับดั้งเดิมน่าจะมีอายุในช่วง พุทธศตวรรษที่ 8-9 เป็นมหายาน
1.3.4 ศฺรีมาลาเทวีสิหนาทนิรฺเทศ ภาษาสันสกฤต พ..880-980 สถานที่พบ บามิยัน เป็นมหายาน
1.3.5 สมาธิราชสูตร ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 880-980 เป็นมหายาน
1.3.6 คัมภีร์ลังกาวตารสูตร พุทธศตวรรษที่ 9
1.3.7 วัชรัจเฉทิกา ปรัชญาปารมิตา ภาษาสันสกฤต พ.. 980-1180 และวัชรัจเฉทิกา ปรัชญาปารมิตา พ.. 930-1200 ภาษาโขตานโบราณ เป็นมหายาน
1.3.8 อังคุลิมาลียะสูตร.. 988-996
1.3.9 ไมเตรฺยวยากรณ ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 1080-1280 ค้นพบที่บามิยัน เป็นมหาสางฆิกะ และฉบับ พ.. 1080-1280 ค้นพบที่กิลกิต เป็นสายมูลสรรวาสติวาท
1.3.10 โยคาจาร ภาษาสันสกฤต พ.. 980-1180 เป็นสรรวาสติวาทหรือมูลสรรวาสติวาท
1.3.11 คัมภีร์ต้นฉบับภาษาโขตาน.. 1000-1500
1.3.12 ภัทรปาลสูตร ภาษาสันสกฤตแบบผสม พ.. 1080-1280 เป็นมหายาน
1.3.13 มหาปรินิรวาณมหาสูตร ภาษาสันสกฤต พ..1080-1280 พบสองแห่งในเอเชียกลาง เป็นพระสูตรมหายาน
1.3.14 ไม่ปรากฏชื่อ ภาษาสันสกฤต เขียนด้วยอักษรอัพไรท์ กุปตะ (Upright Gupta) ใน พ.. 1080-1280
1.3.15 สุวรฺณปฺรภาโสตฺตมสูตร ภาษาสันสกฤต พ..1080-1280 พบในเอเชียกลาง เป็นมหายาน
1.3.16 ธรรมศรีรสูตร ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 1080-1280 และฉบับ พ.. 980-1180 เขียนด้วยภาษาโขตานโบราณ เป็นมหายาน

คัมภีร์เหล่านี้ยืนยันร่องรอยความมีอยู่ของคำสอนธรรมกาย อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาพันปีแรก หลังจากนั้นคันธาระและเอเชียกลางถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงด้วยการรุกเข้ามาของกองทัพต่างศาสนา ชาวเมืองต้องละทิ้งศาสนาดั้งเดิมของตน ถาวรวัตถุและร่องรอยจารึกถูกทำลายจนแทบไม่มีเหลือและถูกเปิดเผยสู่สายตาของคนยุคปัจจุบันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


(ข้อมูลจากสถาบันวิจัยDIRI และหนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 1


พระพุทธศาสนามีอายุยืนยาวมาสองพันกว่าปีแล้ว ธรรมดาเกวียนที่บรรทุกน้ำเดินทางมาไกลการที่น้ำจะไม่กระฉอกหรือรั่ว ซึมไปเลยนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก ไม่มีใครอาจมั่นใจได้ว่าตลอดเวลาการเดินทาง ไกลของพระพุทธศาสนาไปทั่วทุกทิศ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะ ไม่รั่วซึมหรือหาย ตกหล่นไปที่ใดอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสั่งสอน เกี่ยวกับ “ธรรมกาย” ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในแง่ของความหมาย ธรรมกายคืออะไรกันแน่ และการนั่งสมาธิแบบธรรมกายซึ่งเห็นองค์พระนั้น มีอยู่ตั้งแต่โบราณ แล้วหล่นหาย หรือถูกปรับแปลงไปในกลางทาง หรือว่าเป็น เรื่องใหม่ที่มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า



หลังพุทธกาล สงครามเกิดทั่วแผ่นดินชมพูทวีป ราชวงศ์อินเดียแย่งชิงราชบัลลังก์ครั้งแล้วครั้งเล่า พระราชาที่ต่าง ศาสนากันเมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ล้มศาสนาเดิม แล้วสถาปนาความเชื่อของตน ขึ้นมาให้มั่นคงในแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกองทัพต่างศาสนาจากตะวันตกยาตราเข้า แผ่นดินเอเชียกลางตลอดลงมาถึงชมพูทวีปตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 7 ต่อมา ในพุทธศตวรรษที่ 18 สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก คือนาลันทาถูกเผาทำลาย ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ชาวพุทธจะทำได้นอกจากหลบลี้หนีออกไป




พระสงฆ์ที่จดจำคำสอนของพระพุทธองค์สืบต่อกันมาแต่ครั้งพุทธกาลเมื่อนำไป เผยแผ่ในที่ใหม่ ก็ย่อมจะต้องมีการปรับแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้สอดคล้อง กับผู้รับฟัง แน่นอนว่าการบันทึกคัมภีร์พุทธศาสนาตั้งแต่พุทธกาลใช้วิธี ท่องจำ และยังไม่พบหลักฐานเป็นรูปธรรมว่าในครั้งพุทธกาลมีการเขียนในรูป ตัวอักษรหรือไม่ พระสงฆ์ซึ่งแตกฉานในพระธรรมที่ท่องจำมาได้ค่อยๆ จารึก พระพุทธวัจนะลงในรูปของอักษรเขียนปรากฏหลักฐานเก่าที่สุดเมื่อราวพุทธ ศตวรรษที่ 2-3 ซึ่งคณะวิจัยได้ติดตามไปจนพบหลักฐานคัมภีร์พุทธที่เก่าแก่ ที่สุด คือกลุ่มของ สปลิตคอลเลคชัน(Split Collection)ประเทศเยอรมนี จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช


เขียนด้วยภาษาคานธารี อักษรขโรษฐี จำนวน 5 ชิ้น ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.ศ. 296-434 จากการทดสอบด้วยการทำ เรดิโอคาร์บอน(radio-carbon dating)เนื้อหาของคัมภีร์นี้ส่วนใหญ่เป็น ประเภทคาถาในสุตตนิบาต ธรรมบท อปทาน เถรคาถา ฯลฯ และปรัชญา ปารมิตา สำหรับปรัชญาปารมิตา เป็นชิ้นที่ใหม่กว่า ศ.ฟอล์ก (Prof.Falk) ผู้ซึ่งกำลังศึกษา คัมภีร์ชุดนี้อยู่ได้ สรุปว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. 554 ส่วนตัวต้นฉบับปรัชญาปารมิตา ที่ว่ากันว่าเป็นต้นกระแสมหายานน่าจะอยู่ราว พ.ศ. 500 เก่าใกล้เคียงกับบาลี ที่เคยเชื่อกันมาแต่ก่อนว่าเก่าแก่ที่สุด กล่าวคือราว พ.ศ. 444 เกิดจารึกคัมภีร์ พระไตรปิฎกภาษาบาลีของฝ่ายเถรวาทลงใบลาน

นอกจากสงครามที่ทำให้พุทธศาสนาต้องกระจัดกระจายกันไปแล้ว การแตกสายทำให้หลายสำนักต้องสร้างจุดเด่นในคำสอนของตนเองขึ้นมา ความห่างไกล ของภูมิประเทศและความยากลำบากในการเดินทางเชื่อมต่อถึงกันทำให้คำสอน เหล่านั้นแปลกแยกแตกต่างกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ-1)


(Prof. Dr. Harry Falk, The Bajaur Collection of Buddhist Kharosthi Manuscripts (DFG), the Institute of the Languages and Cultures of South Asia at Freie Universität, Berlin)