หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่2 : คันธาระและเอเชียกลาง

พระพุทธศาสนาในคันธาระและเอเชียกลาง
โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ คันธาระนับเป็นปากประตูของอินเดียในการที่จะเปิดตัวออกไปสู่โลกกว้างผ่านเส้นทางสายไหม จึงเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนศิลปวิทยาการ วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนศาสนาของหลายเชื้อชาติที่มีการคมนาคมบนเส้นทางแห่งนี้
การศึกษาทางประวัติศาสตร์บ่งบอกถึงการเดินทางของพระพุทธศาสนาเข้าไปสู่ดินแดนที่เรียกว่า กัศมีระ-คันธาระ หรือ คันธาระโบราณหลายระลอกตั้งแต่พุทธกาลเป็นต้นมา รวมถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียผ่านกัศมีระ-คันธาระไปสู่เอเชียกลางและประเทศจีน ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า น่าจะเป็นการเดินทางไปกับเส้นทางสายการค้าทางไกลมากกว่าที่จะเป็นการแผ่ขยายออกไปตามลำดับ (Neelis 2000: 919-21)
พระภิกษุจีน สวนจ้าง หรือพระถังซัมจั๋ง

อย่างในบันทึกการเดินทางของพระภิกษุจีน สวนจ้าง (หรือรู้จักกันว่าพระถังซัมจั๋ง) ระบุว่า พระพุทธศาสนาเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนคันธาระและเอเชียกลางโดยพ่อค้า 2 ท่านคือ ตปุสสะและภัลลิกะ อุบาสกสองคนแรกในพระพุทธศาสนา ผู้ถวายภัตตาหารมื้อแรกแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองท่านเป็นชาวแบคเทรีย (Dietz 2007: 59-60) 

นอกจากนี้ อรรถกถาธาตุวิภังคสูตรยังกล่าวถึงเรื่องราวของพระเจ้าปุกกุสาติผู้เป็นกษัตริย์ของแคว้นคันธาระในนครตักศิลา ได้รับธรรบรรณาการจากพระเจ้าพิมพิสารที่เขียนจารึกบนแผ่นทองคำพรรณนาคุณของพระรัตนตรัย และการทำสมาธิแบบอานาปานสติจึงเกิดพระปีติแรงกล้าในข่าวการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัย และทรงปฏิบัติธรรมด้วยตนเองตามวิธีการที่พระเจ้าพิมพิสารจารึกไว้ในแผ่นทองคำนั้นจนได้ฌานสมาบัติ จึงสละราชสมบัติเสด็จออกผนวชอุทิศต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ในยุคสมัยพระเจ้ากนิษกะ มีการจัดการสังคยานาครั้งที่ 4  จัดขึ้นที่ กุณฑลวันมหาวิหาร ในกรุงชลันธระ กัศมีระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคันธาระ โบราณ ทรงโปรดให้สร้างวิหาร สถูป เจดีย์ ให้เจาะถ้ำตามหน้าผาของหุบเขาบามิยัน และแกะสลักพระพุทธรูปหลายองค์




หลักฐานธรรมกายในคันธาระและเอเชียกลาง

คัมภีร์ที่ศึกษาขุดค้นพบในคันธาระ 5 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ ฮัดดา ประเทศอัฟกานิสถาน บาจัวร์ ประเทศปากีสถาน บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน กิลกิต ประเทศปากีสถาน และแบคเทรีย ในตอนบนของประเทศอัฟกานิสถาน และในเอเชียกลาง จุดค้นพบคัมภีร์อาจแบ่งได้เป็น 2 เขตใหญ่ คือ ตอนเหนือ และตอนใต้ของทะเลทรายทากลามากัน โดยทางตอนใต้ของทะเลทรายทากลามากัน พบคัมภีร์ใน 2 จุดหลักคือ โขตาน และนิยะ ส่วนทางตอนเหนือและตะวันออกของทะเลทรายทากลามากัน พบคัมภีร์ใน 4 จุดหลัก ได้แก่ คิซิล กุชา เทอร์ฟานและตุนฮวง จากการสำรวจเนื้อหาคัมภีร์ดังที่แจกแจงไว้ข้างต้นแล้วพบว่า คัมภีร์ที่เก่าที่สุดอยู่ในกลุ่มของ สปลิต คอลเลคชัน (Split Collection) ประเทศเยอรมนี เขียนด้วยภาษาคานธารี อักษรขโรษฐี จำนวน 5 ชิ้น จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.. 296-434  ขณะที่จารึกพระเจ้าอโศก เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.. 226 ภาษาปรากฤต อักษรพราหมี ดังนั้นสปลิต คอลเลคชัน (Split Collection) จึงน่าจะมีความเก่าใกล้เคียงกับจารึกพระเจ้าอโศกเลยทีเดียว ซึ่งย่อมแสดงว่าในช่วงเวลานั้นอักษรเขียนได้แพร่หลายในอินเดียและภูมิภาคใกล้เคียงทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว
ทะเลทรายทากลามากัน Takla Makan
จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.. 296-434

จารึกพระเจ้าอโศก เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.. 226 ภาษาปรากฤต อักษรพราหมี


จากงานวิจัยในภูมิภาคคันธาระ เอเชียกลาง และจีน งานวิจัยนี้ตอบปัญหาดังนี้1. มีการกล่าวถึง ธรรมกายจริงในคัมภีร์ดั้งเดิม

โดยมีปรากฏในงานที่ ดร.ชนิดา จันทราศรีไศลถอดถ่ายจากคัมภีร์โบราณ 15 คัมภีร์ ดร.ชัยสิทธิ์ สุวรรณวรางกูล ถ่ายถอดจาก 4 คัมภีร์หลัก พระวีรชัย เตชงฺกุโรและคณะรวบรวมจากร่องรอยทุติยภูมิเป็นส่วนใหญ่ได้อีก 78 คัมภีร์ ทั้งนี้ยังมีคัมภีร์อีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้อ่าน
เท่าที่ร่องรอยสามารถสืบค้นได้ คัมภีร์ที่มีคำว่า ธรรมกายที่เก่าที่สุดและสำคัญที่สุดนั้น ในที่นี้อาจแบ่งเป็น 3 ช่วงยุคเรียงลำดับที่ศึกษา คือ

ยุคพุทธกาล ถึงประมาณ พ.. 300 เป็นช่วงคำสอนดั้งเดิม

เป็นช่วงที่เกือบไม่ปรากฏคัมภีร์ตัวเขียน เพราะการถ่ายทอดใช้วิธีท่องจำและสอนปากเปล่า อาจมีการแกะสลักหรือวาดภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งในปัจจุบันมีการค้นพบอยู่บ้างแต่ไม่อาจตีความหมายได้ชัดเจน

ยุคหินยานและมหายานก่อนขยายความ จาก พ.. 300 ถึงราวพ..743

(ปี พ.. 743 เกิดคัมภีร์มัธยามิกะของท่านนาคารชุน)
เป็นช่วงยุคที่เกิดคัมภีร์มากมายในเขตเอเชียกลางและคันธาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่พ.. 400 สืบต่อมาอีกสามศตวรรษเศษเป็นช่วงที่พุทธศาสนามีความรุ่งเรืองมากจนถึงกับมีการจารึกเป็นตัวอักษรเขียนปรากฏอย่างมากมาย ทั้งหินยาน
และมหายานก่อนขยายความ สำนักที่สามารถระบุได้ว่ามีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้แต่โบราณ ประกอบด้วยมหาสางฆิกะ สรรวาสติวาท และธรรมคุปต์ เป็นต้น ยุคนี้เกิดภาพแกะสลักและพระพุทธรูปศิลปะคันธาระราวปี พ.. 370
พระพุทธรูปศิลปะคันธาระ

ยุคมหายานขยายความ ตั้งแต่ พ.. 744

ซึ่งสมัยท่านนาคารชุน ประพันธ์โศลกมูลฐานว่าด้วยทางสายกลางที่เรียกว่าคัมภีร์สายมัธยามิกะ หรือช่วง
มหายานยุคขยายความ (ท่านนาคารชุนมีชีวิตอยู่ประมาณ พ.. 693-793) จากงานวิจัยข้างต้นสรุปคัมภีร์ด้วยการแบ่งช่วงยุค (periodization) ได้ดังนี้

1.1 ยุคพุทธกาล ถึงประมาณ พ.. 300

คัมภีร์ที่ปรากฏเรื่องธรรมกายส่วนใหญ่อยู่ในสายมหาสางฆิกะ แต่เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่ได้จารคัมภีร์ด้วยตัวอักษร (อาจมีแต่ยังไม่พบ หรือพบน้อยมาก) ทว่าจะถูกท่องจำ และนำไปเขียนในยุคต่อๆ มา หลังจากนั้นก็จะถูก
แปลเป็นภาษาต่างๆ ขยายความกว้างออกไปอีก ดังเช่นมหาปรินิรวาณสูตรถูกระบุว่าเป็นพระสูตรสุดท้ายที่พระพุทธองค์ได้เทศน์สั่งสอนก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในยุคนี้มีคัมภีร์สำคัญเช่น มหาปรินิรวาณสูตร คัมภีร์ปรัชญาปารมิตา
คัมภีร์เหล่านี้มีสาระสำคัญมากมายที่เกี่ยวข้องกับ ธรรมกายและเป็นต้นสาย ตถาคตครรภะซึ่งกล่าวถึงกายภายใน

1.2 ยุคหินยานและมหายานก่อนขยายความ จาก พ.. 300 ถึงราว พ.. 743

เป็นช่วงยุคที่พุทธศาสนารุ่งเรืองมากทางตอนเหนือของอินเดียและเกิดคัมภีร์มากมาย ส่วนใหญ่เป็น
สายมหาสางฆิกะ โลโกตรวาท ธรรมคุปต์ สรรวาสติวาท มูลสรรวาสติวาท คัมภีร์ที่พบมีดังต่อไปนี้
1.2.1 คัมภีร์ในสายของปรัชญาปารมิตา ถือเป็นคัมภีร์ที่มีความเก่ามาก น่าจะเขียนขึ้นระหว่าง พ.. 400-.. 600
1.2.2 โทณสูตร ภาษาคานธารี พ.. 480-530 สายธรรมคุปต์
1.2.3 ภัทรปาละสูตร ภาษาสันสกฤตแบบผสม น่าจะเขียนขึ้นราว พ.. 500 หรือเก่ากว่านั้น เป็นมหายาน (ก่อนยุคขยายความ)
1.2.4 คัมภีร์ประเภทนิทเทส ภาษาคานธารี พ.. 490-510 สายธรรมคุปต์
1.2.5 โพธิสตฺตวปิฏก ภาษาคานธารี พ.. 580-780 สายธรรมคุปต์
1.2.6 วาสิชฎสูตร ภาษาคานธารี พ.. 610-620 สายสรรวาสติวาท
1.2.7 หลักตถาคตครรภะ เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ได้มีการค้นพบคัมภีร์โบราณซึ่งย้อนหลังไปได้ถึง
พุทธศตวรรษที่ 6-7 (. 1-2) ซึ่งอาจถอยไปได้เก่ากว่านั้น คือราว พ.. 400

1.3 ยุคมหายานขยายความ ตั้งแต่ พ.. 744

1.3.1 ศตปญฺจศติกา สโตตรฺ ภาษาสันสกฤต พ.. 780-980 เป็นมหายาน
1.3.2 จตุศะติกา สโตตรฺ ภาษาสันสกฤต พ.. 780 -980 เป็นมหายาน
1.3.3 ตถาคตครฺภสูตร (Tathāgatagarbha sūtra) ฉบับดั้งเดิมน่าจะมีอายุในช่วง พุทธศตวรรษที่ 8-9 เป็นมหายาน
1.3.4 ศฺรีมาลาเทวีสิหนาทนิรฺเทศ ภาษาสันสกฤต พ..880-980 สถานที่พบ บามิยัน เป็นมหายาน
1.3.5 สมาธิราชสูตร ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 880-980 เป็นมหายาน
1.3.6 คัมภีร์ลังกาวตารสูตร พุทธศตวรรษที่ 9
1.3.7 วัชรัจเฉทิกา ปรัชญาปารมิตา ภาษาสันสกฤต พ.. 980-1180 และวัชรัจเฉทิกา ปรัชญาปารมิตา พ.. 930-1200 ภาษาโขตานโบราณ เป็นมหายาน
1.3.8 อังคุลิมาลียะสูตร.. 988-996
1.3.9 ไมเตรฺยวยากรณ ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 1080-1280 ค้นพบที่บามิยัน เป็นมหาสางฆิกะ และฉบับ พ.. 1080-1280 ค้นพบที่กิลกิต เป็นสายมูลสรรวาสติวาท
1.3.10 โยคาจาร ภาษาสันสกฤต พ.. 980-1180 เป็นสรรวาสติวาทหรือมูลสรรวาสติวาท
1.3.11 คัมภีร์ต้นฉบับภาษาโขตาน.. 1000-1500
1.3.12 ภัทรปาลสูตร ภาษาสันสกฤตแบบผสม พ.. 1080-1280 เป็นมหายาน
1.3.13 มหาปรินิรวาณมหาสูตร ภาษาสันสกฤต พ..1080-1280 พบสองแห่งในเอเชียกลาง เป็นพระสูตรมหายาน
1.3.14 ไม่ปรากฏชื่อ ภาษาสันสกฤต เขียนด้วยอักษรอัพไรท์ กุปตะ (Upright Gupta) ใน พ.. 1080-1280
1.3.15 สุวรฺณปฺรภาโสตฺตมสูตร ภาษาสันสกฤต พ..1080-1280 พบในเอเชียกลาง เป็นมหายาน
1.3.16 ธรรมศรีรสูตร ภาษาสันสกฤต ฉบับ พ.. 1080-1280 และฉบับ พ.. 980-1180 เขียนด้วยภาษาโขตานโบราณ เป็นมหายาน

คัมภีร์เหล่านี้ยืนยันร่องรอยความมีอยู่ของคำสอนธรรมกาย อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาพันปีแรก หลังจากนั้นคันธาระและเอเชียกลางถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงด้วยการรุกเข้ามาของกองทัพต่างศาสนา ชาวเมืองต้องละทิ้งศาสนาดั้งเดิมของตน ถาวรวัตถุและร่องรอยจารึกถูกทำลายจนแทบไม่มีเหลือและถูกเปิดเผยสู่สายตาของคนยุคปัจจุบันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


(ข้อมูลจากสถาบันวิจัยDIRI และหนังสือหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ 1 )

Share this

Related Posts

Previous
Next Post »