Showing posts with label วัดพระธรรมกาย. Show all posts
Showing posts with label วัดพระธรรมกาย. Show all posts

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ ตอนที่ 1


พระพุทธศาสนามีอายุยืนยาวมาสองพันกว่าปีแล้ว ธรรมดาเกวียนที่บรรทุกน้ำเดินทางมาไกลการที่น้ำจะไม่กระฉอกหรือรั่ว ซึมไปเลยนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก ไม่มีใครอาจมั่นใจได้ว่าตลอดเวลาการเดินทาง ไกลของพระพุทธศาสนาไปทั่วทุกทิศ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะ ไม่รั่วซึมหรือหาย ตกหล่นไปที่ใดอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสั่งสอน เกี่ยวกับ “ธรรมกาย” ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในแง่ของความหมาย ธรรมกายคืออะไรกันแน่ และการนั่งสมาธิแบบธรรมกายซึ่งเห็นองค์พระนั้น มีอยู่ตั้งแต่โบราณ แล้วหล่นหาย หรือถูกปรับแปลงไปในกลางทาง หรือว่าเป็น เรื่องใหม่ที่มิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า



หลังพุทธกาล สงครามเกิดทั่วแผ่นดินชมพูทวีป ราชวงศ์อินเดียแย่งชิงราชบัลลังก์ครั้งแล้วครั้งเล่า พระราชาที่ต่าง ศาสนากันเมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็ล้มศาสนาเดิม แล้วสถาปนาความเชื่อของตน ขึ้นมาให้มั่นคงในแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกองทัพต่างศาสนาจากตะวันตกยาตราเข้า แผ่นดินเอเชียกลางตลอดลงมาถึงชมพูทวีปตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 7 ต่อมา ในพุทธศตวรรษที่ 18 สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก คือนาลันทาถูกเผาทำลาย ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ชาวพุทธจะทำได้นอกจากหลบลี้หนีออกไป




พระสงฆ์ที่จดจำคำสอนของพระพุทธองค์สืบต่อกันมาแต่ครั้งพุทธกาลเมื่อนำไป เผยแผ่ในที่ใหม่ ก็ย่อมจะต้องมีการปรับแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้สอดคล้อง กับผู้รับฟัง แน่นอนว่าการบันทึกคัมภีร์พุทธศาสนาตั้งแต่พุทธกาลใช้วิธี ท่องจำ และยังไม่พบหลักฐานเป็นรูปธรรมว่าในครั้งพุทธกาลมีการเขียนในรูป ตัวอักษรหรือไม่ พระสงฆ์ซึ่งแตกฉานในพระธรรมที่ท่องจำมาได้ค่อยๆ จารึก พระพุทธวัจนะลงในรูปของอักษรเขียนปรากฏหลักฐานเก่าที่สุดเมื่อราวพุทธ ศตวรรษที่ 2-3 ซึ่งคณะวิจัยได้ติดตามไปจนพบหลักฐานคัมภีร์พุทธที่เก่าแก่ ที่สุด คือกลุ่มของ สปลิตคอลเลคชัน(Split Collection)ประเทศเยอรมนี จารึกบนเปลือกไม้เบิร์ช


เขียนด้วยภาษาคานธารี อักษรขโรษฐี จำนวน 5 ชิ้น ม้วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดอยู่ในราว พ.ศ. 296-434 จากการทดสอบด้วยการทำ เรดิโอคาร์บอน(radio-carbon dating)เนื้อหาของคัมภีร์นี้ส่วนใหญ่เป็น ประเภทคาถาในสุตตนิบาต ธรรมบท อปทาน เถรคาถา ฯลฯ และปรัชญา ปารมิตา สำหรับปรัชญาปารมิตา เป็นชิ้นที่ใหม่กว่า ศ.ฟอล์ก (Prof.Falk) ผู้ซึ่งกำลังศึกษา คัมภีร์ชุดนี้อยู่ได้ สรุปว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. 554 ส่วนตัวต้นฉบับปรัชญาปารมิตา ที่ว่ากันว่าเป็นต้นกระแสมหายานน่าจะอยู่ราว พ.ศ. 500 เก่าใกล้เคียงกับบาลี ที่เคยเชื่อกันมาแต่ก่อนว่าเก่าแก่ที่สุด กล่าวคือราว พ.ศ. 444 เกิดจารึกคัมภีร์ พระไตรปิฎกภาษาบาลีของฝ่ายเถรวาทลงใบลาน

นอกจากสงครามที่ทำให้พุทธศาสนาต้องกระจัดกระจายกันไปแล้ว การแตกสายทำให้หลายสำนักต้องสร้างจุดเด่นในคำสอนของตนเองขึ้นมา ความห่างไกล ของภูมิประเทศและความยากลำบากในการเดินทางเชื่อมต่อถึงกันทำให้คำสอน เหล่านั้นแปลกแยกแตกต่างกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

(โปรดติดตามตอนต่อไป ขอขอบคุณข้อมูลจากสถาบัน DIRI และ หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ-1)


(Prof. Dr. Harry Falk, The Bajaur Collection of Buddhist Kharosthi Manuscripts (DFG), the Institute of the Languages and Cultures of South Asia at Freie Universität, Berlin)


วิธีฝึกคนให้รู้จักรัก

วิธีฝึกคนให้รู้จักรัก...รักษาพระพุทธศาสนานะ^^  

หลวงพ่อทัตตชีโวบอกว่า สาเหตุที่ศาสนาพุทธล่มสลายในแต่ละประเทศ เพราะเราปลูกฝังพุทธบริษัท4 ให้รักพุทธศาสนาดีไม่พอ ทุกอย่างเริ่มที่สังคมที่เล็กที่สุด คือ ครอบครัว ถ้าแต่ละครอบครัวมีปัญหา ลูกๆไม่รักบ้าน ไม่อยากกลับบ้าน คุณสามีเลิกงานไม่อยากกลับบ้าน ความรักความเสียสละแม้แต่ในบ้านเล็กๆนี้ไม่เกิดก็อย่าหวังว่าจะมารัก และรักษาสิ่งที่อยู่ไกลตัวมาอีก คือ วัดและพระพุทธศาสนา



แต่สิ่งที่ดูเหมือนยากนี้ ก็แก้ได้ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การลงมือดูแลตัวเองและบ้านช่องด้วยตนเอง เป็นเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง ฝึกตั้งแต่เด็กๆ โดยให้มี
1.สะอาดทั้งความสะอาดของร่างกาย ข้าวของเครื่องใช้ บ้านช่องห้องหับ
2.เป็นระเบียบข้าวของทั้งหลายจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสบายตาพาสบายใจ
3.สุภาพ ทั้งการปฏิบัติต่อบุคคลอื่น และสุภาพต่อการใช้ข้าวของ ไม่กระแทก ปึงปัง
4.ตรงเวลามีวินัยเรื่องเวลา แบ่งเวลาเป็น ควบคุมการใช้เวลาได้ ไม่ตามใจตนเอง
5.รักการนั่งสมาธิ รักษาใจให้สงบสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ

และเมื่อไปวัดก็ฝึกเขาให้เป็นเจ้าของวัด ดูแลรักษา ทำนุบำรุงจนเป็นนิสัยและเข้าไปถึงหัวใจ

ความรักและหวงแหนจะเกิดขึ้นได้จากการที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการลงมือทำ



ฟังธรรมะแล้วนึกถึงครู

ฟังธรรมะแล้วนึกถึงครู

         ได้ฟังธรรมะเรื่องอสุรินทราหู สนุก ได้ข้อคิดดีๆ เลยมาแบ่งปันกัน ผ่านรูปน่ารักๆ มีความหมาย เรื่องมีอยู่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี แคว้นโกศล ยังมีอสุรินทราหูผู้เป็นอุปราช ผู้สำเร็จราชการของท้าวเวปจิตติอสุรบดินทร์ ผู้ครองอสูรพิภพ เมื่อได้ฟังพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากเทวดาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นครูผู้เลิศกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
เมื่อได้ฟังกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดา อสุรินทราหูมีความประสงค์จะไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมบ้าง แต่กลับคิดไปเองว่าพระผู้มีพระภาคเป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก ตนเป็นผู้มีร่างกายยิ่งใหญ่ หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก และอสุรินทราหูนั้นไม่เคยคิดก้มหัวให้แก่ผู้ใด ดังนั้นจึงไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรม แต่พอเห็นเหล่าเทพยดาและพรหมทั้งหลายเหาะไปเฝ้าพระบรมศาสดาคราวละมาก ๆ ไม่อาจห้ามใจได้

 ยิ่งได้ทราบพระคุณสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์มีพระพักตร์เบิกบานเสมอ ทรงมีการปฏิสันถารดี โอภาปราศรัยน่ารัก, น่าใคร่ เป็นที่เจริญใจของทุกคนที่เข้าเฝ้า ก็ยิ่งเป็นการเร้าใจใคร่จะไปเฝ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น ในราตรีวันหนึ่ง อสุรินทราหูจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ยังประทับ
     ฟังตอนนี้แล้วนึกถึงพระผู้ใหญ่หลายๆรูป  โดยเฉพาะหลวงพ่อธัมมชโย ประทับใจครูบาอาจารย์ ทุกครั้งที่เห็นหลวงพ่อธัมมชโยในDMC หรือที่วัด ท่านจะมีรอยยิ้ม คำพูดที่ชวนสบายใจ อยากทำดี มีเมตตาน่าเข้าใกล้ เหมือนทุกอย่างบนโลกนี้ "สบายๆ"

ก่อนเวลาที่อสุรินทราหูจะเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคทรงทราบดีแล้วด้วยพระอนาคตังสญาณ ทั้งทรงทราบดีตลอดถึงความในใจของอสุรินทราหูด้วยที่คิดดูหมิ่นพระองค์มีพระกายเล็ก ถ้าเข้าไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมอง เหมือนพญาช้างมองดูมดแดงฉะนั้น ครั้นทรงทราบจึงรับสั่งแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ วันนี้อสุรินทราหูจะมาเฝ้า เธอจงจัดสถานที่รับรองที่บริเวณพระคันธกุฎีอันเป็นสถานที่กว้างใหญ่ และจงลาดบรรจถรณ์ที่นอนของฉันไว้ ณ ที่นั้นด้วย ฉันจะนอนรับอสุรินทราหู เพื่อให้โอกาสแก่อสุรินทราหูได้เห็นฉันอย่างใกล้ชิดและชัดเจน

           ครั้นใกล้เวลาที่อสุรินทราหูเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคก็เสด็จบรรทมในพระแท่นที่ประทับ ทรงทำปาฏิหาริย์นิรมิตพระกายให้ใหญ่กว่าอสุรินทราหูหลายเท่า พระรูปนี้จะปรากฏเฉพาะแต่อสุรินทราหูเห็นผู้เดียวเท่านั้น ครั้นอสุรินทราหูเข้าไปเฝ้า เห็นเข้าก็อัศจรรย์ใจมาก แม้แต่เพียงพระบาททั้ง ๒ ข้างที่ซ้อนกันอยู่ ก็ยังสูงและใหญ่กว่าอสุรินทราหูเสียอีก เมื่ออสุรินทราหูเข้าใกล้ได้ถวายอภิวาท แทนที่จะต้องก้มลงดูพระพุทธเจ้าดังที่คิดแต่แรกมากลับต้องแหงนหน้าชมพระพุทธลักษณะอันงดงาม ตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงพระพักตร์ ปรากฏว่าเป็นที่พอใจได้ความปลาบปลื้มที่ได้ชมพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าทั้งใหญ่ทั้งงามสมส่วนทุกประการ ก็กราบทูลสรรเสริญ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงรับสั่งปฏิสันถารให้ความชื่นบานแก่อสุรินทราหูยิ่งขึ้น แล้วตรัสว่า 
อสุรินทราหู! บุคคลทั้งหลายเมื่อได้ทราบข่าวเล่าลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ หากยังไม่ได้เห็น, ยังไม่พิจารณาให้ถ่องแท้แก่ใจตนแล้ว ไม่พึงติชมก่อน 

อสุรินทราหู, ท่านคงเข้าใจว่า ท่านมีร่างกายใหญ่กว่าเทพยดาและอสูรทั้งหลาย จริงอยู่บรรดาพวกอสูรทั้งหลายในอสูรพิภพนั้นมีร่างกายเล็กกว่าท่าน แต่ท่านคิดหรือเปล่าว่าในที่อื่นอาจมีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าท่าน เหมือนปลาใหญ่ในหนองคลองบึง มันอาจคิดว่าตัวมันโตกว่าปลาทั้งหลาย ไม่มีปลาตัวใดจะเสมอได้ เพราะมันยังไม่ได้ไปเห็นปลาในมหาสมุทร อสุรินทราหู! แม้ท่านเองก็ยังมีความรู้สึกเช่นนั้น
พระบรมศาสดาได้แสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไป ณ พรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายที่พากันมาเข้าเฝ้า ล้วนมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์ และต่างพากันเบิ่งตามองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์จ้องมองมดปลวกตัวเล็ก ๆ แล้วกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญได้พาตัวอะไรมาด้วยหรือพระเจ้าข้า” อสุรินทราหูบังเกิดความกลัวต้องหลบอยู่หลังพระบรมศาสดา นับตั้งแต่นั้นมาก็ลดมานะทิฏฐิเลิกหลงทะนงอวดตัว หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพของตน...เอวังฯ จบเอย